ความสำคัญของน้ำลาย 

คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า น้ำลายของคนเรามีไว้ทำอะไร และเป็นไปได้หรือไม่ที่คนเราจะไม่มีน้ำลาย และหายเราไม่มีน้ำลายจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา ซึ่งในบทความนี้จะมาอธิบายเกี่ยวกัยความสำคัญของน้ำลายของมนุษย์ 

มนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีน้ำลาย เนื่องจากน้ำลายมีบทบาทสำคัญในการย่อยอาหารและรักษาสุขภาพช่องปาก อย่างไรก็ตาม มีภาวะบางอย่างที่สามารถทำให้การผลิตน้ำลายลดลงหรือหยุดไปเลยได้ ภาวะนี้เรียกว่า “ปากแห้ง” หรือ “Xerostomia” ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น

 สาเหตุของปากแห้ง

  1. ยา: ยาบางชนิด เช่น ยาต้านฮีสตามีน ยาลดความดันโลหิต ยารักษาโรคซึมเศร้า ยาคลายกล้ามเนื้อ และยาเคมีบำบัด อาจมีผลข้างเคียงทำให้การผลิตน้ำลายลดลง
  2. โรค: โรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน, โรคพาร์คินสัน, โรคซิเกรน (Sjögren’s syndrome), โรคภูมิต้านทานตนเอง และโรคเอดส์ สามารถทำให้การผลิตน้ำลายลดลง
  3. การรักษาทางการแพทย์: การฉายรังสีบริเวณศีรษะและคอเพื่อรักษามะเร็งสามารถทำลายต่อมน้ำลายและลดการผลิตน้ำลายได้
  4. ภาวะการขาดน้ำ: การขาดน้ำหรือภาวะที่ร่างกายขาดน้ำ (dehydration) สามารถทำให้การผลิตน้ำลายลดลง
  5. การบาดเจ็บหรือการผ่าตัด: การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อต่อมน้ำลายหรือเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำลาย

 

ผลกระทบของการไม่มีน้ำลาย

การไม่มีน้ำลายหรือการผลิตน้ำลายไม่เพียงพอสามารถทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น

  1. การย่อยอาหารลำบาก: การไม่มีน้ำลายทำให้การย่อยอาหารในปากเป็นไปได้ยากขึ้นและอาจทำให้เกิดปัญหาในการกลืน
  2. ฟันผุ: การไม่มีน้ำลายทำให้ไม่มีการล้างคราบแบคทีเรียและกรดออกจากฟัน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ

3.ติดเชื้อในช่องปาก: การไม่มีน้ำลายลดการป้องกันจากเชื้อโรค ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อในช่องปาก

  1. ปากแห้ง: การไม่มีน้ำลายทำให้เกิดอาการปากแห้งและอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและเจ็บปวด

 

การจัดการภาวะปากแห้ง

– ดื่มน้ำบ่อยๆ: การดื่มน้ำบ่อยๆ สามารถช่วยลดอาการปากแห้งได้

– ใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนน้ำลาย: มีผลิตภัณฑ์ทดแทนน้ำลาย เช่น น้ำลายเทียม สเปรย์ หรือเจล ที่สามารถช่วยลดอาการปากแห้ง

– หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดการขาดน้ำ: การหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ คาเฟอีน หรือมีรสเค็มมากๆ ซึ่งสามารถทำให้เกิดการขาดน้ำได้

– เคี้ยวหมากฝรั่งหรือลูกอมที่ไม่มีน้ำตาล: การเคี้ยวหมากฝรั่งหรือลูกอมที่ไม่มีน้ำตาลสามารถช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลายได้

หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการปากแห้งเป็นเวลานาน ควรปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์เพื่อหาสาเหตุและการรักษาที่เหมาะสม

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    Alpha88 สล็อต

ประวัติความเป็นมาของเพลงคลาสสิกในประเทศไทย

การฟังเพลง คือสิ่งหนึ่งที่ผู้คนนั้นโปรดปรานเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ในอารมณ์ไหน ดนตรีและเสียงเพลงจะสามารถช่วยให้คุณสบายใจได้เมื่อคุณได้ฟังมัน ดังนั้นผู้คนในยุคปัจจุบันจึงให้ความสำคัญกับดนตรีและเพลงมาก จะเห็นได้จากมีการเริ่มให้บุตรหลานของตัวเองเรียนดนตรีตั้งแต่เด็ก ซึ่งในบทความนี้จะพูดถึงประวัติความเป็นมาของเพลงคลาสสิกว่าเกิดขึ้นในประเทศไหนตั้งแต่เมื่อไหร่ 

เพลงคลาสสิกในประเทศไทยมีประวัติความเป็นมายาวนานและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับอิทธิพลจากดนตรีตะวันตกตั้งแต่ช่วงต้นของศตวรรษที่ 19 ต่อไปนี้คือภาพรวมของประวัติความเป็นมาของเพลงคลาสสิกในประเทศไทย:

 

ช่วงต้นศตวรรษที่ 19

– การเข้ามาของชาวต่างชาติ ช่วงนี้มีการเข้ามาของชาวตะวันตก เช่น ชาวโปรตุเกส และชาวอังกฤษ ซึ่งได้นำเครื่องดนตรีตะวันตก เช่น เปียโน และไวโอลิน เข้ามาในประเทศไทย

– การตั้งโรงเรียนสอนดนตรี: มีการตั้งโรงเรียนและศูนย์การเรียนการสอนดนตรีแบบตะวันตกในประเทศไทย เช่น โรงเรียนดุริยางค์ศาสตร์มหิดล (ปัจจุบันคือวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล)

 สมัยรัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2394 – พ.ศ. 2411)

– การรับดนตรีตะวันตก: พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนใจดนตรีตะวันตกและได้ทรงสนับสนุนให้มีการเล่นดนตรีตะวันตกในราชสำนัก

สมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2411 – พ.ศ. 2453)

– การสนับสนุนดนตรีคลาสสิก: พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนการเรียนการสอนดนตรีตะวันตกและการนำเสนอการแสดงดนตรีคลาสสิกในประเทศไทย

– นักดนตรีและครูดนตรีชาวต่างชาติ: มีนักดนตรีและครูดนตรีชาวตะวันตกเข้ามาในประเทศไทย เช่น ครูฮีนเซ่ ซึ่งเป็นครูดนตรีชาวเยอรมัน

 ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

– การก่อตั้งวงดุริยางค์: วงดุริยางค์ทหารบกและวงดุริยางค์ทหารเรือเริ่มมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ดนตรีคลาสสิกในประเทศไทย

– การก่อตั้งโรงเรียนดนตรี: โรงเรียนดนตรีหลายแห่งเริ่มมีการสอนดนตรีคลาสสิก เช่น โรงเรียนดุริยางคศิลป์

สมัยใหม่

– การพัฒนาวงดุริยางค์ฟิลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย (Thailand Philharmonic Orchestra): วงนี้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2548 และเป็นวงดนตรีที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ

– การก่อตั้งสถาบันการเรียนการสอนดนตรี: มีการก่อตั้งสถาบันการเรียนการสอนดนตรีหลายแห่ง เช่น วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่มีการสอนดนตรีคลาสสิกอย่างเป็นระบบ

– การจัดคอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีคลาสสิก: มีการจัดคอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีคลาสสิกมากขึ้น เช่น Bangkok International Festival of Dance and Music ซึ่งเป็นเวทีสำหรับนักดนตรีคลาสสิกทั้งไทยและต่างชาติ

 สรุป

เพลงคลาสสิกในประเทศไทยมีการพัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนจากทั้งราชสำนักและหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงการจัดตั้งสถาบันการศึกษาและวงดุริยางค์ที่มีมาตรฐานสูง ซึ่งช่วยให้เพลงคลาสสิกเข้าถึงคนไทยมากขึ้นและได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    Alpha88 สล็อต